งานทำผิวสำเร็จเป็นงานสำคัญส่วนหนึ่งของงานเครื่องเรือนและก่อสร้าง ที่จะเพิ่มความน่าดูและสวยงามขึ้น ถ้าตบแต่งไม่ถูกวิธี อาจลดความน่าดูและความคงทนลงได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาคุณลักษณะของไม้ คุณลักษณะวัสดุตบแต่งและขั้นตอนการทำงานให้ชัดเจน ในทางปฏิบัติจริง ที่ข้างกระป๋องสี กระป๋องนํ้ามันผสมสี หรือกระป๋องอื่นๆ จะมีรายละเอียดกำกับเกี่ยวกับคุณสมบัติและวิธีใช้ให้ปฏิบัติตามนั้น
สี (Paint)
สีเป็นวัสดุช่างที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง มนุษย์รู้จักใช้สีมานานแล้ว มีการค้นคว้า พัฒนาเรื่องสี ทำให้สีเกิดขึ้นอีกมากมายหลายชนิด ประโยชน์ของสีนั้นมนุษย์นำมาเพื่อใช้ในการตกแต่งสิ่งก่อสร้างและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ถึงปัจจุบันสีก็ยังมีความจำเป็นและต้องใช้อีกมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้สีดังต่อไปนี้
วัตถุประสงค์การใช้สี
- เพื่อการตกแต่ง ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือสิ่งปลูกสร้างเกิดความสวยงาม น่าใช้ น่าจับต้อง
- เพื่อช่วยป้องกันเหล็กไม่ให้เกิดสนิม โดยการทาหรือพ่นเคลือบไว้
- เพื่อสงวนภาวะของแสงให้ดีขึ้น เช่น ห้องที่คับแคบอึดอัด หากใช้สีขาวก็จะช่วยให้ห้องสว่างและโล่งกว้างได้
- ให้ภาวะทางอารมณ์ของมนุษย์ได้จากโทน (Tone) ของสี เช่น สีโทนร้อนมักจะให้ความรู้สึกทางอารมณ์ในเชิงร้อนตื่นเต้น ระวังตัว เป็นต้น
- เพื่อทำให้ภาวะการทำงานของมนุษย์ดีขึ้น เป็นต้นว่า ความสวยงามของสี ความเรียบร้อยสะอาด ย่อมช่วยสร้างบรรยากาศได้
- เพื่อให้เกิดภาวะเรื่องความปลอดภัย สีสามารถให้ความรู้สึกและเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้ทั้งการจราจร โรงพยาบาล ความปลอดภัยในโรงงานต่าง ๆ เช่น สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความระมัดระวัง สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องอันตราย ห้าม เป็นต้น
สีนํ้าพลาสติก
สีน้ำพลาสติก (Plastic Emulsion Paint) เป็น
สีที่นิยมใช้กันในปัจจุบันอีกประเภทหนึ่ง เพราะเหมาะกับการทาสีอาคาร ผนังที่เป็นคอนกรีตหรือผนังก่ออิฐ ฉาบปูน สีนํ้าพลาสติกนี้ส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตที่สำคัญคือ โพลีไวนิลอาร์เตท ทาแล้วเกาะติดได้ดี เฉพาะวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ สามารถแห้งหรือแข็งไต้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง ใช้นํ้าเปล่าเป็นตัวละลายสี สีนํ้าพลาสติกจำแนกเป็นประเภททาภายในและทาภายนอกให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม
สีน้ำมัน
สีนํ้ามัน (Oil Paint) เป็นสีทาได้ทั้งงานไม้ งานตึก งานเหล็ก และวัสดุอื่นที่ไม่ทำปฏิกิริยากับนํ้ามัน คุณภาพการจับยึดดีกว่าสีนํ้าพลาสติก ส่วนผสมของสีได้แก่ นํ้ามันสนหรือนํ้ามันลีนสีด ตัวละลายที่ละลายได้เร็วและแห้งเร็วขึ้น คือนํ้ายาซักแห้ง
แชลแล็ค (Shellac)
แชลแล็คเป็นวัสดุเคลือบผิวที่รู้จักกันมาแต่โบราณ วัตถุดิบหลักคือรังครั่งที่เติบโตตามต้นก้ามปูหรือต้นสะแกในบ้านเรา โดยเอารังครั่งมาละลาย รีดเป็นแผ่นตากแห้งกลายเป็นแผ่นบาง ๆ ที่เรียกว่าแชลแล็คเกร็ดนั่นเอง
ประเภทของแชลแล็ค
- แชลแล็คสีตามธรรมชาติ แชลแล็คนี้ส่วน มากจะเป็นเกร็ด ขายเป็นกิโล มีสีน้ำตาล แดงและสีเหลือง เมื่อทาบนไม้จะทำให้ไม้นั้นสดใสขึ้น โดยทำให้สีของเนื้อไม้เปลี่ยนไปด้วย การใช้ต้องนำมาผสมกับตัวละลายเอง
- แชลแล็คสี หรือเรียกอีกอย่างว่า แชลแล็ค สำเร็จ แซลแล็คสำเร็จนี้มีหลายสี บรรจุสำเร็จอยู่ในขวดหรือกระป๋อง หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป สามารถนำมาทาได้ทันที มีหลายสี เช่น แชลแล็คสีแดง สีโอ้ค สีเหลือง สีประดู่ เป็นต้น
- แชลแล็คขาว เป็นแซลแล็คเกร็ดที่ผ่านการฟอกสีมาแล้ว เป็นเม็ดผงสีเหลืองอ่อน ๆ เมื่อจะใช้ต้องนำมาผสมกับนํ้ามันแอลกอฮอล์ ประมาณ แชลแล็คขาว 1 ส่วน ต่อแอลกอฮอล์ 2 ส่วนโดยปริมาตรแล้วแช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 12 ชั่วโมง จึงนำมาใช้ได้
คุณสมบัติของแชลแล็ค
- ตัวละลายหรือนํ้ามันผสมใช้แอลกอฮอล์เท่านั้น
- ไม่ทนต่อนํ้า ความชื้น หรือความร้อน
- ขัดตกแต่งขึ้นเงาพอสมควร
- ใช้ทาเคลือบพื้น และป้องกันการเปลี่ยนสีของเนื้อไม้ได้
- อย่าทาแชลแล็คขณะฝนตก หรือมีอากาศชื้น เพราะทำให้เกิดฝ้า ไม่เป็นเงา
- การทาแชลแล็คไม่ทาช้ามากจนเกินไป
ลำดับขั้นการทาแชลแล็ค
การทาแชลแล็คจริง ๆ แล้วจะใช้กับงานที่ไม่ค่อยประณีตมากนัก เช่น ทาโต๊ะ เก้าอี้ หรือบานประตู หน้าต่าง แต่งานที่ต้องการความประณีตจริง ๆ แล้ว หน้าที่ของแชลแล็คเป็นเพียงแค่รองพื้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็มีลำดับขั้นการทาเคลือบผิวด้วยแชลแล็คดังนี้
- ขัดผิวงานด้วยกระดาษทราย ถ้ามีรอยแตกร้าว หรือฝังหัวตะปูก็ให้ใช้ดินสอพองบดผสมแชลแล็คอุดโป๊วรูรอยแตกเสียก่อน แล้วค่อยขัดด้วยกระดาษทราย
- ละลายดินสอพองกับนํ้าให้ข้นพอสมควร แล้วทาด้วยเศษผ้า ละเลงบนผิวงานให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง ทั้งนี้เพื่อดินสอพองอุดในรูของเสี้ยนไม้นั่นเอง
- ขัดด้วยกระดาษทรายเพื่อให้ดินสอพองที่อยู่บนพื้นไม้ออก คงเหลือเฉพาะที่อุดเสี้ยนไม้เท่านั้น
- เมื่อขัดเรียบร้อยดีแล้ว ใช้เศษผ้าเช็ด ปัดฝุ่นออกให้หมด แล้วจึงนำแชลแล็คที่หมักไว้แล้วมาทาด้วยแปรงขนกระต่ายสัก 2 รอบ
- เมื่อแห้ง ใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดลูบ หรือขัดเบา ๆ ให้เรียบ
- ใช้แปรงจุ่มแชลแล็คทาอีก 1-2 รอบโดยแต่ละรอบทิ้งเวลาห่างกัน 5-10 นาที
- หากเป็นแซลแล็คสำเร็จ ไม่ต้องผสม ทาได้เลย
แลคเคอร์ (Lacquer)
แลคเคอร์เป็นนํ้ามันเคลือบผิวชนิดใส ใช้เคลือบผิวไม้มาแต่สมัยโบราณ เป็นวัสดุสังเคราะห์ ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติ มีการปรับปรุงคุณภาพให้ใช้งานได้สะดวกและทนทานตามลำดับ
ปัจจุบันแลคเคอร์เป็นที่นิยมกันในวงการเครื่องเรือน เพราะทำให้ชิ้นงานสวยงาม น่าจับต้องและน่าใช้ เพื่อการใช้งานที่เหมาะสมกับรสนิยมของผู้ใช้ จึงได้มีการทำแลคเคอร์ขึ้น 2 ชนิด คือ
- แลคเคอร์ชนิดมัน (Gloss Lacquer) ลักษณะเป็นของเหลวใส นำไปทาบนพื้นผิวไม้ เมื่อแห้งจะเป็นเงางามคล้ายกระจก
- แลคเคอร์ด้าน (Flat Lacquer) ลักษณะเป็นของเหลวแต่ไม่ใสนัก เมื่อทาลงบนผิวไม้ จะมองดูผิวเนียนเรียบ ไม่เป็นเงาสะท้อน ซึ่งจะช่วยทำให้เครื่องเรือนนั้นดูเรียบเนียน ลดการเห็นคลื่นที่ไม่เรียบร้อย และลดการสะท้อนของเงาไม้ การใช้งานมักจะใช้วิธีพ่น คือเมื่อ พ่น 2-3 รอบ ก็เป็นอันว่าใช้ได้เลย สำหรับราคานั้น ค่อนข้างสูงกว่าแลคเคอร์ชนิดมัน
ประเภทของแลคเคอร์
- แลคเคอร์สำเร็จ เป็นแลคเคอร์ที่บรรจุขวดไว้ หรือบรรจุในกระป๋องอัดลมพิเศษสามารถนำมาใช้ได้เลย
- แลคเคอร์ข้น เป็นแลคเคอร์ที่บรรจุอยู่ในแกลลอน การจะนำไปใช้ต้องนำมาผสมกับตัวละลายคือ นํ้ามันทินเนอร์ก่อน ไม่เช่นนั้นจะทาไม่ได้เพราะข้นมากเกินไป
คุณสมบัติของแลคเคอร์
- เป็นวัสดุเคลือบผิวใส
- เป็นวัสดุที่แห้งเร็ว ใช้การทาหรือการพ่นก็ได้
- เป็นวัสดุที่ไม่ทนต่อความชื้นหรือความร้อน
- หากมีตำหนิหรือข้อบกพร่อง แก้ไขได้ง่าย
- แลคเคอร์เมื่อแห้งแล้วจะไม่อ่อนตัวหรือเหนียวเหนอะหนะ
- แลคเคอร์เมื่อแห้งแล้ว สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ด้วยการขัดเช็ดถู โดยใช้เศษผ้า เฟอร์นิเจอร์จึงไม่ค่อยเปื้อน
วิธีทาแลคเคอร์
- เตรียมชิ้นงานก่อน โดยการขัดกระดาษทรายและอุดโป๊วรอยแตก รูร่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อยแล้วขัดด้วยกระดาษทรายอีกครั้ง ให้เรียบ
- ใช้แชลแลคทาเคลือบผิว 2-3 รอบ แล้วใช้กระดาษทรายละเอียดเบอร์ 0 ขัดเบา ๆ
- เตรียมแลคเคอร์โดยเทแลคเคอร์ลงในภาชนะก่อน เช่น แกลลอนตัดครึ่ง หรือกระป๋องสังกะสี เป็นต้น
- เททินเนอร์ใส่ในอัตราส่วนผสมพอเหมาะ คือ ทินเนอร์ 3 ส่วน แลคเคอร์ 2 ส่วน
- คนด้วยไม้เพื่อให้วัสดุทั้งสองเข้ากัน
- ใช้แปรงขนกระต่ายจุ่มแลคเคอร์ที่ผสมแล้ว ปาดที่ขอบภาชนะก่อน แล้วจึงนำไปทาบนผิวงานที่เตรียมไว้แล้วห้ามทาในขณะที่ อากาศชื้น เช่น ฝนตก เพราะจะทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย
- การทาควรทาไปในทิศทางเดียวกันและทาให้ซ้อนกันเล็กน้อย
- ทาซํ้าประมาณ 2-3 รอบ ก็เป็นอันใช้ได้