การบริหารงานด้านเครื่องจักรกลก็จะต้องมีขั้นตอนเช่นเดียวกับการบริหารงานทั่ว ๆ ไป ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนงานด้านเครื่องจักรกล การจัดแบ่งงานด้านเครื่องจักรกล การควบคุมงานด้านเครื่องจักรกล และการประเมินผลงานด้านเครื่องจักรกล เช่นกัน แต่งานด้านเครื่องจักรกล นั้นแบ่งออกเป็นงานต่าง ๆ 6 ประเภทซึ่งแสดงไว้ตามวงจรของงานด้านเครื่องจักรกลในรูปที่ 14.1 ทำให้แผนงานการจัดแบ่งงาน การควบคุม และการประเมินผลงานจำเป็นต้องจัดทำสำหรับงาน ทั้ง 6 ประเภท
การวางแผนงานด้านเครื่องจักรกลเป็นขั้นตอนแรกของการบริหารงานด้านเครื่องจักรกล ซึ่งโดยปกติหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเครื่องจักรกลจะไม่ได้จัดทำแผนงานด้านเครื่องจักรกล จึงทำให้หน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นประสบปัญหาด้านเครื่องจักรกลดังที่กล่าวไว้แล้ว และไม่มีทางที่จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเป็นผล
การวางแผนงานด้านเครื่องจักรกลจะต้องคำนึงถึงเรื่องสำคัญ ๆ เช่นเดียวกับการวางแผนงานที่ดีทั่ว ๆ ไป คือขาดความสามารถในการปฎิบัติงานและปัจจัยด้านอื่น ๆ ของหน่วยงาน ลำดับความสำคัญและลำดับเวลาของงาน และความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และนโยบายจึงจะทำให้แผนงานนั้นเป็นแผนงานที่สามารถปฏิบัติได้ และใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งการวางแผนงานด้านเครื่องจักรกลนี้จะประกอบด้วยแผนงาน 6 ประเภทคือ
1. การวางแผนการจัดหาเครื่องจักรกล
เป็นแผนงานด้านเครื่องจักรกลสิ่งแรกที่จะต้องทำการกำหนดแผนงานเครื่องจักรกลนั้นก็คือ การกำหนด แบบ ชนิด การจัดหา ประเภท และจำนวนเครื่องจักรกล รวมทั้งระยะเวลาที่ต้องการ เพื่อให้เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการด้านงานก่อสร้าง ดังนั้นแผนการจัดหาเครื่องจักรกลจึงขึ้นอยู่กับแผนงานก่อสร้างเป็นหลัก ซึ่งแผนงานก่อสร้างนี้จะต้องค่อนข้างแน่นอน หากมิฉะนั้นแล้วเครื่องจักรกลที่จัดหามาอาจจะใช้งานไม่คุ้มค่าก็ได้ การจัดหาเครื่องจักรกลนี้ อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องจัดซื้อเสมอไป เพราะในบางครั้งการเช่าเครื่องจักรกลมาทำงานหรือ การจ้างเหมางานก่อสร้างทั้งหมดหรือบางส่วนอาจจะคุ้มค่ากว่า
ในปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ แทบจะไม่สามารถจัดทำแผนการจัดหาเครื่องจักรกลได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ แต่ละหน่วยงานไม่มีแผนงานก่อสร้างที่แน่นอนหรือบางหน่วยงานไม่มีแผนงานเลยก็เป็นได้ ประการที่สองไม่สามารถหางบประมาณจัดหาเครื่องจักรกลได้เพียงพอ
2. การวางแผนการใช้เครื่องจักรกล
ได้แก่ การกำหนดว่าเครื่องจักรกลแต่ละคันนั้นจะใช้งานได้กี่ชั่วโมงและจะใช้งานในช่วงเวลาใด การที่จำเป็นจะต้องจัดทำแผนการใช้เครื่องจักรกลนี้ก็เพราะว่าเครื่องจักรกลทุกคันจะไม่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ทั้งนี้จะมีการชำรุดและมีการบำรุงรักษา อีกทั้งถ้าหากไม่กำหนดให้เครื่องจักรกลทำงานเต็มที่แล้วเวลาที่เครื่องจักรกลพร้อมที่จะทำงานแต่ไม่นำไปใช้งานก็จะเป็นเวลาที่เสียเปล่าในแง่ของการลงทุน
การกำหนดแผนการใช้เครื่องจักรกลจำเป็นจะต้องคำนึงถึงจังหวะเวลาเป็นสำคัญเพราะ ในบางฤดูกาลเครื่องจักรกลบางชนิดจะไม่สามารถใช้งานได้ และในขั้นตอนของงานก่อสร้างแต่ละขั้นตอนอาจจะใช้เครื่องจักรกลที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องจักรกลบางประเภทจะใช่ในตอนแรกของการก่อสร้าง และเครื่องจักรกลอีกประเภทจะใช้ในขั้นตอนหลังของการก่อสร้าง ดังนั้นก็พอสรุปได้ว่าแผนการใช้เครื่องจักรกลที่ดีนั้นก็คือการกำหนดให้เครื่องจักรกลทุกคันสามารถทำงานได้เต็มที่สอดคล้องกับจังหวะเวลาของความต้องการ
3. การวางแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรกล
การบำรุงรักษาเครื่องจักรกลก็คือ การปฎิบัติต่อเครื่องจักรกลเพื่อป้องกันมิให้เครื่องจักรกลนั้นเกิดเสียขึ้น จึงทำให้การบำรุงรักษาเครื่องจักรกลขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการใช้เป็นหลัก ซึ่งเครื่องจักรกลแต่ละประเภท แต่ละชนิดและแต่ละยี่ห้อ บริษัทผู้ผลิตจะกำหนดระยะเวลาที่จะต้องทำการบำรุงรักษาและรายละเอียดของการบำรุงรักษาไว้เสมอ ดังนั้นแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลก็สามารถกำหนดได้จากแผนการใช้เครื่องจักรกล คือเมื่อรู้ว่าเครื่องจักรกล แต่ละคันจะทำงานกี่ชั่วโมงเมื่อตรวจสอบกับกำหนดระยะเวลาและจะต้องทำการบำรุงรักษาอะไรและเมื่อใด ก็จะสามารถวางแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลได้
4. การวางแผนการซ่อมเครื่องจักรกล
หลายคนอาจสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องจักรกลจะเสียเมื่อไร และเมื่อไม่รู้ จะกำหนดแผนการซ่อมได้อย่างไร แต่ในข้อเท็จจริงแล้วเราสามารถประมาณอายุการใช้งานของแต่ละส่วนของเครื่องจักรกลได้จากการตรวจสภาพของเครื่องจักรกล ลักษณะงานที่ใช้ และอายุของแต่ละส่วนของเครื่องจักรกลโดยเฉลี่ย ดังนั้นเมื่อรู้ว่าส่วนไหนของเครื่องจักรกลจะหมดอายุเมื่อใดจึงสามารถกำหนดแผนการซ่อมล่วงหน้าได้
การกำหนดแผนการซ่อมโดยการคาดคะเนอายุการใช้งานของเครื่องจักรกลนี้ควรปรับให้เหมาะสมกับวิธีการซ่อมและจังหวะเวลาที่จะทำการซ่อม ซึ่งสามารถทำได้เนื่องจากอายุการใช้งานของเครื่องจักรกลมิใช่ตัวเลขตายตัวอาจยืดหรือหดได้มากพอสมควร เช่น ในกรณีที่มีโรงซ่อมเครื่องจักรกลของตัวเองก็สามารถปรับให้ปริมาณงานซ่อมเข้าโรงซ่อมสมํ่าเสมอตลอดทั้งปี และหากจะให้สอดคล้องกับการใช้เครื่องจักรกลซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา การกำหนดแผนการซ่อมเครื่องจักรกลก็ควรที่จะกำหนดการซ่อมในช่วงเวลาที่เครื่องจักรกลไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากดินฟ้าอากาศให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นต้น
5. การวางแผนการใช้อะไหล่เครื่องจักรกล
เมื่อกำหนดแผนการบำรุงรักษาและแผนการซ่อมเครื่องจักรกลแล้วก็สามารถที่จะทราบว่าจะใช้อะไหล่อะไรบ้างสำหรับการบำรุงรักษาและการซ่อมแต่ละครั้งนั่นก็คือสามารถกำหนด แผนการใช้อะไหล่เครื่องจักรกลได้ว่าจะใช้อะไหล่อะไรเมื่อใด
การวางแผนการใช้อะไหล่เครื่องจักรกลนั้นจะต้องคำนึงถึงจำนวนอะไหล่คงคลังหรือจำนวนอะไหล่ที่มีอยู่ด้วย นอกจากนี้เพื่อให้แผนการใช้อะไหล่เครื่องจักรกลสอดคล้องกับแผนการซ่อมและบำรุงรักษาเครื่องจักรกลคือ ให้ใด้รับอะไหล่ทันต่อความต้องการที่จะใช้ในการบำรุงรักษาและซ่อมนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงวิธีการและสถิติการจัดหาอะไหล่ด้วยว่าการจัดหา อะไหล่แต่ละชิ้นหรือแต่ละประเภทต้องใช้เวลาเท่าใด
6. การวางแผนการจำหน่ายบัญชีเครื่องจักรกล
จากสถิติการใช้การบำรุงรักษาและการซ่อมที่แล้วมาจะสามารถกำหนดได้ว่าเครื่อง จักรกลแต่ละคันสมควรที่จะใช้ต่อไปอีกหรือไม่ หรือควรจะซ่อมแซมให้ดีหรือไม่ในกรณีที่เครื่องจักรกลชำรุด นอกจากนี้ปัจจัยอีกประการหนึ่งสำหรับเรื่องการจำหน่ายบัญชีก็คือ สถิติในการจัดหาอะไหล่ เครื่องจักรกลบางประเภทบริษัทผู้แทนจำหน่ายมิได้สำรองอะไหล่ไว้ ทำให้การจัดหาอะไหล่แต่ละครั้งใช้เวลานานหรือบางครั้งไม่สามารถจัดหาอะไหล่ได้ จึงทำให้ใม่สามารถนำเครื่องจักรกลไปใช้ได้อย่างคุ้มค่า จากสถิติและปัจจัยดังกล่าวสามารถนำมากำหนดแผนการจำหน่ายบัญชีเครื่องจักรกลได้ว่า เครื่องจักรกลใดจะทำการจำหน่ายบัญชีเมื่อใด
สรุปการจัดทำแผนงานด้านเครื่องจักรกลนั้น ควรจัดทำเป็นประจำและจัดทำล่วงหน้าเป็นปี ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานที่มีเครื่องจักรกลอยู่แล้วนั้นจะต้องจัดทำแผนงาน ด้านเครื่องจักรกลให้แล้วเสร็จก่อนการจัดทำงบประมาณเพื่อให้ทราบถึงประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายของเครื่องจักรกล และให้ทราบถึงความต้องการด้านเครื่องจักรกลเพิ่มเติมเสียก่อนที่จะของบประมาณด้านต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้งบประมาณต่าง ๆ สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง
ขั้นตอนการจัดทำแผนงานด้านเครื่องจักรกลของหน่วยงานที่มีเครื่องจักรกลอยู่แล้ว สามารถอธิบายได้โดยสรุปจากแผนภูมิตามรูปที่ 14.2 ซึ่งจะเริ่มจากการตรวจสภาพของเครื่องจักรกลเพื่อกำหนดอายุการใช้งานของแต่ละชิ้นส่วนของเครื่องจักรกล ยกเว้นเครื่องจักรกลใหม่
ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสภาพ ตัวอย่างแบบฟอร์มการตรวจสภาพ (ตัวอย่างที่ 14.1) และตัวอย่างรายระเอียดประมาณการค่าอะไหล่ ระยะเวลาซ่อม อายุมาตรฐานของเครื่องจักรกล (ตัวอย่างที่ 14.2) ได้แสดงไว้ เมื่อตรวจสภาพเสร็จแล้วก็จะทำแผนการซ่อมเครื่องจักรกล ลงในแบบฟอร์มตามตัวอย่างที่ 14.3 ซึ่งเวลาที่เหลือจากการซ่อมตามแผนการซ่อมเครื่องจักรกล ก็ควรจะเป็นเวลาที่เครื่องจักรกลสามารถนำไปใช้งานได้ก็คือแผนการใช้งานนั่นเอง และเมื่อ ทราบจำนวนชั่วโมงของการใช้งานแล้วก็สามารถที่จะกำหนดแผนการบำรุงรักษาและสามารถกำหนดแผนการใช้อะไหล่เครื่องจักรกลได้จากแผนการซ่อมและแผนการบำรุงรักษาซึ่งมีรายละเอียดตามตัวอย่างนบบฟอร์มที่ 14.4