การใช้เครื่องจักรกลในงานก่อสร้างเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงสุดก็คือ จะต้องให้เครื่องจักรกลมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงน้อยที่สุดและให้ได้งานต่อชั่วโมงมากที่สุดนั่นเอง ดังนั้นจงจำเป็นที่จะต้องคิดค่าใช้จ่ายของเครื่องจักรกลแต่ละชิ้นและคิดปริมาณงานที่เครื่องจักรกลจะทำได้เสียก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเครื่องจักรกลมาใช้ในการทำงาน
ค่าใช้จ่ายของเครื่องจักรกล
ค่าใช้จ่ายของเครึ่องจักรกล หมายถึง เงินทั้งหมดที่จะต้องเสียไปในการที่มีเครื่องจักรกลไว้ใช้ทำงาน โดยทั่วไปจะนิยมคิดในรูปของค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. ค่าใช้จ่ายของการเป็นเจ้าของ (owning cost)
คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการซื้อเครื่องจักรกลมาไว้ใช้งานซึ่งจะประกอบด้วย
1.1 ค่าเสื่อมราคา (depreciation) คือค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปเนื่องจากเครื่องจักรกลมีมูลค่าลดลง เมื่อเครื่องจักรมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น มูลค่าที่จะลดลงก็คือราคาที่ซื้อมารวมค่าภาษี ต่าง ๆ ค่าอุปกรณ์ และค่าขนส่งจนถึงที่ที่จะใช้งาน หักราคาขายเครื่องจักรกลที่คาดว่าจะได้หลังจากครบอายุการใช้งาน สำหรับเครื่องจักรกลล้อยางจะหักค่ายางออกจากราคาที่ซื้อมา เพราะถือว่ายางเป็นชิ้นส่วนที่สึกหรอจะรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการใช้งาน (operating cost) การคิดค่าเสื่อมราคาสามารถคิดได้ 3 วิธีคือ วิธีเส้นตรง (straight line method) จะคิดค่าเสื่อมราคาหรือมูลค่าของเครื่องจักรกลที่ลดลงเท่า ๆ กันทุกชั่วโมงการใช้งาน ดังนั้นค่าเสื่อมราคาสามารถหาได้จากสมการคือ
โดยที่อายุการใช้งานของเครื่องจักรกลจนเครื่องจักรกลมีค่าเป็นศูนย์ จะมีรายละเอียด ตามตารางที่ 13.1
วิธีคิดค่าเสื่อมราคาวิธีที่สองคือวิธีที่เรียกว่า digit-sum method จะคิดค่าเสื่อมราคาต่อปีโดยจะคิดค่าเสื่อมราคาไม่เท่ากันแต่ละปี ซึ่งจะให้ค่าเสื่อมราคาในปีแรกสูงสุดแล้วจะลดลงเรื่อย ๆ การคิดค่าเสื่อมราคาแต่ละปีจะคิดจากอายุการใช้งาน เช่น ถ้าอายุการใช้งานเป็น 8 ปี ก็จะเอาเลข 1 ถึง 8 มาบวกกันจะได้ 36 ปีแรกก็จะได้ค่าเสื่อมราคาเป็น 8 ของมูลค่าที่จะลดลง ทั้งหมดตลอดอายุการใช้งาน
ปีที่สองก็จะเป็น 7/36 ปีที่สามก็จะเป็น 6/36 ลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงปีที่แปด ค่าเสื่อมราคาก็จะเป็น 1/36 เมื่อรวมค่าเสื่อมราคาทั้งหมดตลอด 8 ปีก็จะเป็น 36 /36และค่าของเครื่องจักรกลเมื่อครบอายุการใช้งานก็จะมีค่าเท่ากับวิธีเส้นตรง
วิธีคิดค่าเสื่อมราคาวิธีสุดท้ายคือ วิธีที่เรียกว่า declining-balance method ซึ่งจะคิดค่าเสื่อมราคาต่อปีไม่เท่ากันเช่นเดียวกับวิธีที่สอง โดยจะคิดค่าเสื่อมราคาปีแรกสูงและจะลดล เรื่อย ๆ การคิดค่าเสื่อมราคาแต่ละปีเท่ากับจำนวนเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่จากมูลค่าที่เหลืออยู่แต่ละปี ซึ่งจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่จะลดลงโดยทั่วไปนิยมคิดเป็นสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ที่ลดลงด้วยวิธีเส้นตรง เช่น ถ้าอายุการใช้งานของเครื่องจักรกลเป็น 8 ปี ตามวิธีเส้นตรงมูลค่าของเครื่องจักรกลจะลดลง ปีละ 12 ½ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ที่จะลดลงตามวิธี declining-balance จะใช้เป็น 25 เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าที่เหลืออยู่แต่ละปี ซึ่งหลังจากการใช้งานปีแรกมูลค่าจะเหลือ 75 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตั้งแต่เริ่มต้น และหลังจากการใช้งานปีที่สอง มูลค่าจะเหลือ 56 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตั้งแต่เริ่มแรก (หัก 25 เปอร์เซ็นต์ออกจากมูลค่า 75 เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่) และหลังจากการใช้งานไป 8 ปีมูลค่าจะเหลืออยู่ 10 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตังแต่เริ่มแรก ซึ่งจะไม่เหลือเท่ากับศูนย์เช่นเดียวกับสองวิธีแรก
การเปรียบเทียบการคิดค่าเสื่อมราคาทั้ง 3 วิธีมีตามรูปที่ 13.1 โดยใช้อายุการใช้งาน 8 ปีและมูลค่าเมื่อครบอายุการใช้งานเป็นศูนย์ ซึ่งจะเห็นว่าการคิดตามวิธีที่สองและวิธีที่สามจะให้ผลคล้ายกัน และถ้าจะคิดจำนวนเงินลงทุนโดยเฉลี่ยตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรกลซึ่งหาได้จากพื้นที่ภายใต้กราฟตามรูปที่ 13.1 จะเห็นว่าเงินลงทุนโดยเฉลี่ยของสองวิธีหลังจะน้อย กว่าวิธีเส้นตรง สำหรับการคิดค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรกลนิยมจะคิดโดยวิธีเส้นตรงเพราะ เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดและจะไม่ให้ผลแตกต่างจากข้อเท็จจริงมากนัก
1.2 ค่าคอกเบี้ยและค่าประกัน (interest and insurance) คือค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป เนื่องจากต้องนำเงินลงทุนซื้อเครื่องจักรกลมาใช้งาน ซึ่งจะนิยมคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีโดยหาได้ จากสมการคือ
ค่าดอกเบี้ยและค่าประกัน = เงินลงทุนเฉลี่ยต่อปีX(อัตราดอกเบี้ย+อัตราเบี้ยประกัน)
สำหรับเงินลงทุนเฉลี่ยต่อปีสามารถหาได้โดยประมาณจากสมการคือ
เงินลงทุนเฉลี่ยต่อปี = ราคาซื้อ-ราคาขายเมื่อครบอายุการใช้งาน
2
2. ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน (operating cost)
คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อนำเครื่องจักรกลไปทำงาน ซึ่งจะประกอบด้วย
2.1 ค่านํ้ามันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะคิดจากอัตราการสิ้นเปลืองนํ้ามันเชื้อเพลิงจำเพาะ (โดยประมาณเท่ากับ 0.3 ลิตรต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง หรือเท่ากับ 0.22 ลิตรต่อแรงม้าต่อชั่วโมง) และจากกำลังของเครื่องยนต์ที่ใช้กับเครื่องจักรกล แต่เนื่องจากเครื่องจักรกล ในขณะที่ทำงานไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังที่ใช้จะขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องจักรกล และสภาพของการทำงาน โดยจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของกำลังสูงสุดที่กำหนดของเครื่องยนต์ที่ใช้กับเครื่องจักรกล และสามารถประมาณได้ตามรายละเอียดในตารางที่ 13.2
ดังนั้นค่านํ้ามันเชื้อเพลิงจึงสามารถหาได้จากสมการคือ
2.2 ค่านํ้ามันหล่อลื่นและเครื่องกรองต่าง ๆ ซึ่งเป็นวัสดุที่ต้องเปลี่ยนถ่ายตามกำหนดเวลา โดยทั่วไปจะมีค่าประมาณ 1-3 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ บวกกับค่าใช้จ่ายในการใช้งาน) และสามารถประมาณได้จากค่านํ้ามันเชื้อเพลิงตามชนิดของเครื่องจักรกล ซึ่งจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่านํ้ามันเชื้อเพลิงตามตารางที่ 13.3
ดังนั้นค่านํ้ามันหล่อลื่นและเครื่องกรองจึงหาได้จากสมการคือ
เนื่องจากการคิดค่านํ้ามันหล่อลื่นและเครื่องกรองต่าง ๆ จะต้องเลือกเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด ไว้เป็นช่วงตามตารางที่ 13.3 จึงควรที่จะยึดหลักในการเลือกทั่วๆไปคือ สำหรับเครื่องจักรกล ขนาดเล็กต้องเลือกเปอร์เซ็นต์สูง และหากเครื่องจักรกลจะต้องทำงานในที่ที่มีฝุ่นมาก ๆ ก็จะต้อง เพิ่มเปอร์เซ็นต์ตามตารางที่ 13.3 ขึ้นอีกประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้หากต้องการค่านํ้ามันหล่อลื่นและเครื่องกรองต่าง ๆ ที่แม่นยำขึ้นก็สามารถที่จะคิดได้จากปริมาณนํ้ามันหล่อลื่นและ เครื่องกรองที่จะต้องเปลี่ยนในช่วงเวลาต่าง ๆ และราคาของนํ้ามันหล่อลื่นและเครื่องกรองดังกล่าว แล้วคิดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงทำงาน
2.3 ค่าซ่อมแซม ก็คือค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียไปในการซ่อมแซมเครื่องจักรกลเมื่อเครื่องจักรกลชำรุดหรือเมื่อชิ้นส่วนสึกหรอเกินกำหนด ค่าใช้จ่ายนี้ก็คือค่าชิ้นส่วนหรืออะไหล่ที่จะต้องเปลี่ยนและค่าแรงงานที่ใช้ในการซ่อมแซม ค่าซ่อมแซมนี้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพของการทำงานของเครื่องจักรกล ความชำนาญของพนักงานขับเคลื่อน การดูแลและบำรุง รักษาเครื่องจักรกล และอื่น ๆ ดังนั้นการประมาณค่าซ่อมแซมที่ดีที่สุดก็คือใช้ค่าซ่อมแซมที่เกิดขึ้นจริงจากประวัติของเครื่องจักรกลประเภทเดียวกันและทำงานในสภาพเดียวกัน แต่หากไม่สามารถที่จะหาประวัติดังกล่าวได้ ก็จะใช้ค่าประมาณโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาซื้อ (ถ้าเป็นเครื่องจักรกลล้อยางจะต้องหักราคายางออก) โดยมีรายละเอียดตามตารางที่ 13.4 ซึ่งคิดค่าซ่อมแซมเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาซื้อ ตามขนาดของเครื่องจักรกล และสภาพของการทำงาน
ดังนั้นค่าซ่อมแซมจึงสามารถหาได้จากสมการคือ
สำหรับราคาซื้อที่ต้องหารด้วย 1,000 นั้นก็เพึ่อที่จะให้เปอร์เซ็นต์ของราคาซื้อเป็นเลขจำนวนเต็ม นอกจากนี้ค่าซ่อมแซมต่อชั่วโมงที่คิดออกมาจะถือว่าเป็นค่าซ่อมแซมที่คงที่ตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรกล แต่ในข้อเท็จจริงค่าซ่อมแซมจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุการใช้งานของเครื่องจักรกลเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้าจะพิจารณาการคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรงที่คิดค่าเสื่อมราคาเท่ากันทุกปี แต่ในข้อเท็จจริงมูลค่าของเครื่องจักรกลในปีแรก ๆ จะลดลงมากกว่าปีหลัง ๆ เมื่อรวมกับค่าซ่อมแซมที่เท่ากันทุกปีจึงทำให้ค่าใช้จ่ายร่วมของทั้งสองรายการนี้จะชดเชยกันไป
2.4 ค่ายาง ก็คือค่าใช้จ่ายในการที่จะต้องซื้อยางมาเปลี่ยนใหม่เมื่อยางเดิมหมดอายุการใช้งาน ซึ่งค่ายางนี้ก็จะมีเฉพาะเครื่องจักรกลล้อยาง โดยค่ายางก็จะขึ้นอยู่กับราคาของยาง และอายุการใช้งานของยาง ตารางที่ 13.5 จะแสดงอายุการใช้งานของยางตามชนิดของเครื่องจักรกลและสภาพของการใช้งาน
อายุการใช้งานที่แสดงในตารางที่13.5 เป็นตัวเลขเฉลี่ยสำหรับกรณีทั่วๆไป ดังนั้น เพึ่อให้ค่าของอายุการใช้งานของยางใกล้เคียงกับสภาพการใช้งานมากยิ่งขึ้น จึงกำหนดตัวคูณตามลักษณะและสภาพของการทำงานขึ้นตามตารางที่ 13.6
ดังนั้นอายุการใช้งานของยางสามารถหาได้จากสมการ
อายุการใช้งานเป็นชั่วโมง = อายุการใช้งานเฉลี่ยXตัวคูณตามลักษณะและสภาพ
และ
สำหรับเครื่องจักรกลตีนตะขาบ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเปลี่ยนชุดเครื่องล่างจะรวมอยู่ ในค่าซ่อมแซม
2.5 ค่าชิ้นส่วนที่สึกหรือเร็ว ก็คือค่าใช้จ่ายในการที่จะต้องซื้อชิ้นส่วนที่สึกหรอเร็วมาเปลี่ยนใหม่ ซึ่งชิ้นส่วนที่สึกหรอเร็วจะหมายถึงชิ้นส่วนที่มีการสึกหรอโดยรวดเร็วและถอดเปลี่ยนได้ง่าย จึงไม่รวมค่าใช้จ่ายนี้เข้าไว้ในค่าซ่อมแซม ชิ้นส่วนเหล่านี้ได้แก่ ฟันของบุ้งกี๋ ขอบใบมีด มุมใบมีด ปลายของคราด เป็นต้น ค่าชิ้นส่วนที่สึกหรอเร็วสามารถหาได้จากสมการคือ
สำหรับอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของชิ้นส่วนที่สึกหรอเร็ว จะมีรายละเอียดตามตาราง ที่ 13.7 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสภาพของการทำงานด้วย
2.6 ค่าพนักงานขับเคลื่อน คือค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมาขับเคลื่อนเครื่องจักรกล ซึ่งจะรวมถึงเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยประกัน และอื่น ๆ ที่จะต้องจ่าย ให้แก่พนักงานขับเคลื่อน โดยจะคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมง
ตัวอย่างการคิดค่าใช้จ่ายของเครื่องจักรกล
รถดันดินตีนตะขาบขนาด 200 แรงม้า ราคาซื้อ 2,100,000 บาท ส่งถึงที่ทำงาน เพื่อนำไปใช้ในงานสร้างถนน อัตราดอกเบี้ยของเงินลงทุน 18% อัตราเบี้ยประกัน 2% ค่านํ้ามันดีเซล 8 บาท/ลิตร ค่าขอบและมุมใบมีดชุดละ 2,000 บาท ค่าพนักงานขับเคลื่อน 4,000 บาท/เดือน และ คิดชั่วโมงการใช้งานเดือนละ 150 ชั่วโมง
วิธีทำ การคิดค่าใช้จ่ายของเครื่องจักรกลควรทำตามขั้นตอนคือ
1. ค่าเสื่อมราคา ตามตารางที่ 13.1 คิดสภาพของการทำงานปานกลาง อายุการใช้งาน จะเป็น 10,000 ชั่วโมง ราคาขายเมื่อครบอายุการใช้งานจะเป็นศูนย์ จะได้ค่าเสื่อมราคาตามวิธี เส้นตรงคือ